แกงเขียวหวานนั้นอยู่คู่กับครัวไทยมาตั้งแต่สมัยโบราณ และยังคงได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบัน ด้วยรสชาติที่ดีไม่เผ็ดจนเกินไป
ทำให้แกงเขียวหวานเป็นที่นิยมชมชอบทั้งในและต่างประเทศ ไม่ว่าจะนำแกงเขียวหวานมาทานคู่กับขนมจีนหรือแป้งโรตี ก็มีความอร่อยที่เข้ากัน จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมร้านอาหารไทยทุกร้านจะต้องมีแกงเขียวหวานอยู่ในเมนูเสมอ ซึ่งรสชาติของแกงเขียวหวานนั้น จะต้องมีรสชาติเค็ม มัน เผ็ด และมีรสหวานกลมกล่อมปิดท้าย
การที่จะลงมือทำแกงเขียวหวานให้ได้รสชาติกลมกล่อมนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะเครื่องแกงนั้นประกอบไปด้วยส่วนประกอบหลักอย่างกะทิ และส่วนประกอบอื่นๆ อีกมากมาย เช่น กระเทียม หัวหอม ข่า ตะไคร้ รากผักชี พริกขี้หนูสวน ซึ่งต้องตำให้ได้ที่ ถึงจะได้เครื่องแกงที่ดีและถ้าหากดูวัตถุดิบที่ต้องใช้ในการทำแล้วจะเห็นได้ว่าเป็นของสดแทบทั้งหมด รสชาติที่ทำได้ออกมาในแต่ละครั้งก็อาจจะไม่แน่นอน
การเก็บรักษาก็ค่อนข้างลำบากเพราะใช้ของสดในการทำจึงทำให้เครื่องแกงหรือตัวกะทิเองนั้นอยู่ได้ไม่นาน ดังนั้น หากเปลี่ยนมาใช้ รสดีเมนู แกงเขียวหวาน ที่มีกะทิมาให้พร้อมและความอร่อยคงที่ในทุกๆ ชามแล้ว ก็ไม่ต้องกังวลกับของสดที่เราไม่สามารถควบคุมรสชาติได้ อีกทั้งวิธีการใช้ก็แสนง่าย สะดวกในการจัดเก็บ และยังประหยัดต้นทุนในการทำอาหารอีกด้วย
สำหรับเคล็ดลับในการทำแกงเขียวหวานให้อร่อยยิ่งๆ ขึ้นไปอีก ให้เริ่มจากการหมักเนื้อสัตว์ ซึ่งสามารถนำเนื้อสัตว์ไปหมักกับ รสดี รสต่างๆ
ให้เหมาะกับเนื้อสัตว์ที่ใช้ ก่อนนำมาต้มรวมกับ รสดีเมนู แกงเขียวหวาน ก็จะทำให้เนื้อสัตว์มีรสชาติที่เข้มข้นขึ้น ส่วนมะเขือเปราะ ให้ใส่ลงไปขณะน้ำเดือดเท่านั้น เพราะถ้าหากใส่ลงไปก่อนหรือผ่าทิ้งไว้ จะทำให้ตัวมะเขือมีสีคล้ำไม่น่ารับประทาน สำหรับใบโหระพา ควรใส่ปิดท้ายก่อนเสิร์ฟจะได้กลิ่นที่หอมนานกว่าปกติและสีสันน่ารับประทาน เนื่องจากใบโหระพาที่โดนความร้อนนานจะเปลี่ยนสี และความหอมสดชื่นก็จะหายไปด้วย
ด้วยเคล็ดลับง่ายๆ เหล่านี้ ก็จะทำให้ได้แกงเขียวหวานที่อร่อยกลมกล่อม แถมมีสีสันน่ารับประทาน เอาไว้ทานคู่กับข้าวสวยร้อนๆ ขนมจีนเส้นหนึบๆ หรือแป้งโรตีนุ่มๆ